ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์การแพร่รระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้หลายๆ สิ่งแปรเปลี่ยนไป ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวขนานใหญ่ บางบริษัทลดพนักงานลงเพื่อให้อยู่รอด หรือพนักงานประจำบางคนก็ผันตัวจากการเป็นมนุษย์ออฟฟิศมาสู่การเป็นเจ้าของกิจการ หรือประกอบอาชีพอิสระแทน ซึ่งการออกจากงานไม่ว่าจะเป็นแบบสมัครใจ หรือถูกเชิญออกล้วนต่างหนีไม่พ้นในเรื่องของการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับใครที่สงสัยว่าการยื่นภาษีของผู้ที่ออกจากงานแล้วนั้นต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือวิธีการที่แตกต่างไปจากที่เคยยื่นภาษีแค่ไหน
ออกจากงาน ยื่นภาษีเงินได้อย่างไร
กรณีที่ 1 ออกจากงานแบบสมัครใจ และยังคงว่างงานอยู่
- มีแต่เงินเดือนอย่างเดียว
คำนวณรายได้ที่ที่เกิดขึ้นระหว่างปีภาษี และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ 40(1) ตามปกติ - มีเงินเดือน + เงินที่เป็นเงินผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
หากเราลาออกจากงานและตัดสินใจถอดเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกมาด้วย เราจำเป็นต้องนำเงินส่วนที่เป็นผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินสมทบนายจ้าง หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินสมทบนายจ้าง มาคำนวณภาษีร่วมกับเงินเดือนที่ได้ระหว่างปีภาษีด้วย แล้วค่อยยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ 40(1) ตามปกติ
หมายเหตุ หากเราเป็นสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพครบ 5 ปีแล้ว และอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ เงินที่ถอนออกมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะได้รับการยกเว้นภาษีได้
กรณีที่ 2 ถูกเชิญออก
1.มีแต่เงินเดือนอย่างเดียว ให้นําเงินเดือนมาคำนวณในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ 40(1) ตามปกติ
2.เงินเดือน +เงินพิเศษ
เงินพิเศษในที่นี้หมายถึง เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน เงินผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินช่วยเหลือผู้ที่ออกจากราชการเงินบำเหน็จดำรงชีพ หรือเงินที่จ่ายให้ครั้งเดียวที่มีวิธีการคํานวณอื่นๆ โดยมีแนวทางในการยื่นภาษีตามอายุงาน ดังนี้
อายุงานน้อยกว่า 5 ปี
นำเงินส่วนที่เป็นเงินพิเศษ มาคำนวณรวมกับเงินเดือนที่เกิดขึ้นระหว่างปีภาษีในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ 40(1) ตามปกติ
อายุงานมากกว่า 5 ปี
สามารถเลือกได้ว่าจะคำนวณภาษีรวม หรือใช้สิทธิแยกคำนวณภาษีได้ ซึ่งวิธีคำนวณภาษีแบบแยกนั้น มี 3 แบบด้วยกัน คือ
แบบที่ 1 เงินเดือนระหว่างปีภาษี + เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน / เงินผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / เงินช่วยเหลือผู้ที่ออกจากราชการเงินบำเหน็จดำรงชีพ
นำเงินส่วนที่เป็นเงินพิเศษ มาคำนวณรวมกับเงินเดือนที่เกิดขึ้นระหว่างปีภาษีในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ 40(1) ตามปกติ
หมายเหตุ เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน/เงินผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (บางกรณี) /เงินช่วยเหลือผู้ที่ออกจากราชการ/เงินบำเหน็จดำรงชีพ เป็นเงินก้อนพิเศษที่ได้สิทธิยกเว้นภาษี ซึ่งมีเข้าเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
เงินที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี | เงื่อนไข |
เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน | ได้รับยกเว้น 300 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 300,000 บาท |
เงินช่วยเหลือผู้ที่ออกจากราชการ | ไม่จำกัดจำนวน |
เงินผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ | ตาย ทุพพลภาพ เกษียณ (อายุตั้งแต่ 55 ปี) หรือคงเงินผลประโยชน์ไว้ |
เงินบำเหน็จดำรงชีพ | ไม่เกิน 15 เท่าของบาญรายเดือน และไม่เกิน 200,000 |
แบบที่ 2 เงินเดือนระหว่างปีภาษี + เงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณอื่นๆ
เราต้องนำเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณอื่นๆ มาคำนวณตามกรณี ดังต่อไปนี้
วิธีคำนวณ | |
กรณีเงินเดือน 12 เดือนสุดท้ายเท่ากันทุกเดือน | เงินเดือนเดือนสุดท้าย x จํานวนปีที่ทํางาน |
กรณีเงินเดือน 12 เดือนสุดท้ายไม่เท่ากันทุกเดือน | เงินเดือนถัวเฉลี่ย 12 เดือนสุดท้าย + ร้อยละ 10 x จํานวนปีที่ทํางาน |
| เงินเดือนเดือนสุดท้าย x จํานวนปีที่ทํางาน |
หมายเหตุ จํานวนปีที่ทํางาน กรณีเศษของปีถึง 183 วัน ให้นับเป็น 1 ปี ถ้าไม่ถึงให้ปัดทิ้ง
เข้าข่ายกรณีไหนให้คำนวณตามแต่ละวิธีของกรณีนั้นๆ ไป และเมื่อคำนวณเสร็จแล้ว ให้นำผลลัพธ์ที่ได้มาเปรียบเทียบกับ เงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณอื่นๆ มูลค่าไหนน้อยสุดให้นำมาใช้เป็นมาเป็นฐานเพื่อคํานวณหาค่าใช้จ่าย
ตัวอย่างเพื่อความกระจ่าง
นาย A โดนเชิญออกจากงานเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 64 ทำงานมาแล้ว 6 ปี เงินเดือนก้อนสุดท้ายคือ 15,000 ซึ่งนาย A ได้รับเงินเดือนตั้งแต่ ม.ค.- มิ.ย. 64 เดือนละ 12,๐๐๐ บาท และเดือนก.ค. ถึงธ.ค. 64 เดือนละ 15,000 บาท และนายจ้างจ่ายพิเศษให้อีก 200,000 บาท โดยเลือกเสียภาษีเงินได้โดยไม่นําไปรวมคํานวณกับเงินได้อย่างอื่น
วิธีการคำนวณ
เนื่องจากเงินเดือน 12 เดือนสุดท้ายไม่เท่ากัน ทำให้ต้องนำเงินเดือนเปรียบเทียบกันเพื่อหาฐานที่น้อยที่สุดสำหรับนำไปคำนวณค่าใช้จ่าย
เงินเดือนถัวเฉลี่ย 12 เดือนสุดท้าย + ร้อยละ 10 x จํานวนปีที่ทํางาน | {[(12,000 x 6) + (15,000 x 6)] 12[(12,000 x 6) + (15,000 x 6)] 12 +10%} x6 = 89,100 บาท |
เงินเดือนเดือนสุดท้าย x จํานวนปีที่ทํางาน | 15,000 x 6 = 90,000 |
เมื่อเปรียบเทียบแล้วปรากฏว่าผลัพธ์วิธีแรกมีมูลค่าน้อยที่สุด ให้นำผลลัพธ์นี้ไปใช้เป็นฐานในการคำนวณหาค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายส่วนแรก (7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน) | 7,000 x 6 = 42,000 |
ค่าใช้จ่ายส่วนที่สอง (ฐานที่น้อยที่สุด – ค่าใช้จ่ายส่วนแรก) x 50% | (89,100 – 42,000) x 50% = 2,355 |
รวมค่าใช้จ่าย | 42,000 + 2,355 = 44,355 |
หาเงินได้หลังค่าใช้จ่าย
เงินได้สุทธิ (เงินที่นายจ้างจ่าย – ค่าใช้จ่ายทั้งหมด) | 200,000 – 44,355 = 155,645 |
หลังจากที่หาเงินได้สุทธิเสร็จสิ้นแล้วให้นำไปคํานวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้ที่สรรพากรกำหนด และสำหรับ เงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณอื่นๆ เราจะต้องต้องนําไปกรอกในใบแนบแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91
แบบที่ 3 เงินเดือนระหว่างปีภาษี + เงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณอื่นๆ + เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน / เงินผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / เงินช่วยเหลือผู้ที่ออกจากราชการเงินบำเหน็จดำรงชีพ
กรณีได้รับ เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน / เงินผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / เงินช่วยเหลือผู้ที่ออกจากราชการเงินบำเหน็จดำรงชีพ แล้วยังได้รับเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณอื่นๆ อีก ให้นําเงินได้ทั้งหมดมาเป็นฐานได้ทั้งจํานวน ยกเว้นเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานที่มีวิธีการคำนวณอื่นๆ ให้นํามาเปรียบเทียบตามวิธีด้านบนก่อน และเลือกผลลัพธ์ที่น้อยที่สุด แล้วค่อยนำมารวมกันเพื่อใช้เป็นฐานสำหรับคํานวณหาค่าใช้จ่าย
เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการยื่นภาษี กรณีออกจากงาน
- หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย
- เอกสารรับรองอายุการทำงาน
- เอกสารรับรองเงินเดือนย้อนหลัง
ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับเลยว่าเป็นปีที่เหนื่อยสุดๆ แต่ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ห้ามท้อเด็ดขาด เพราะฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ และสำหรับใครที่ต้องการลดขั้นตอนในการยื่นภาษีให้กระชับ และสะดวกสบายมากขึ้นอย่าลืมแวะเข้าเตรียมข้อมูลยื่นภาษีกับ noon.in.th เพราะเตรียมข้อมูลยื่นภาษีที่นี่ easy กว่าที่เคย
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
rd.go.th, aommoney.com, thebangkokinsight.com,taxbugnoms.co, itax.in.th