การออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์อาจนำพามาซึ่งร่ายกายที่แข็งแรง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้แบบ 100% การทำประกันสุขภาพจึงมักเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่เลือกนำมาใช้เพื่อแบ่งเบาภาระค่ารักษา แต่จะสุ่มสี่สุ่มห้าซื้อประกันสุขภาพไปโดยที่ยังไม่เข้าใจคำว่า IPD (ผู้ป่วยใน) และ OPD (ผู้ป่วยนอก) ไม่ได้เด็ดขาด เพราะทั้ง 2 คำนี้เป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถซื้อประกันสุขภาพได้ตอบโจทย์มากกว่าที่เคย
IPD กับ OPD ต่างกันอย่างไร?
IPD (In Patient department) หรือ “ผู้ป่วยใน” หมายถึง ผู้ที่เข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง ตามการวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น นายนูนต้องเข้ารับการรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ และต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์ และยังให้รวมถึงการรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยในแต่เสียชีวิตก่อน 6 ชั่วโมงด้วยเช่นกัน
OPD (Out Patient Department) หรือ “ผู้ป่วยนอก” หมายถึง ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล แต่ไม่ต้องนอนพักรักษา สามารถกลับบ้านได้เลย ยกตัวอย่างเช่น นางสาวประกันมีไข้เล็กน้อย และเข้ารับการรักษาตัวที่คลินิกใกล้ๆ ที่ทำงาน โดยแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาให้รับยาไปทานและกลับบ้านได้ ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เป็นต้น
เลือกแบบไหนคุ้มค่ากว่า? ระหว่างประกันสุขภาพที่คุ้มครองเฉพาะ IPD หรือ OPD หรือทั้งคู่เลย
หลักการเลือกประกันสุขภาพ เบื้องต้นอย่าเพิ่งถามหาว่าแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ให้หาคำตอบให้ได้ก่อนว่าตนเองนั้นเหมาะกับแบบประกันสุขภาพลักษณะไหนมากที่สุด โดยอาจเริ่มสำรวจจากความถี่ในการเข้าใช้บริการสถานพยาบาลก่อนก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น
ความถี่ในการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล | ต้องนอนพักรักษาตัวในสถานพยาบาลหรือไม่? | |
นาย A | 6 – 10 ครั้ง/เดือน | ไม่ ส่วนใหญ่เป็นอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่แค่รับยาทานแล้วสามารถกลับบ้านได้เลย |
นาย B | 1 – 2 ครั้ง/เดือน | ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ตั้งแต่ 1 วัน ขึ้นไป |
นาย C | 3 – 5 ครั้ง/เดือน | มีทั้งต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และสามารถรับยาทานแล้วบ้านได้ ปะปนกันไป |
จากตารางจะพบว่านาย A มีความถี่ในการเข้าใช้บริการสถานพยาบาลมากเป็นอันดับที่ 1 ตามมาด้วยนาย C และนาย B แต่ความถี่ในการเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลอาจไม่เพียงพอที่จะฟันธงว่าแต่ะคนนั้นเหมาะสมกับประกันสุขภาพแผนใด ต้องดูรูปแบบในการเข้ารับการรักาด้วยว่าเป็นลักษณะใด อาทิเช่น ต้องนอนรักษาตัวในสถานพยาบาลหรือไม่ เป็นต้น และเมื่อวิเคราะข้อมูลทั้ง 2 ชุดร่วมกันทำให้มีผลัพธ์เป็น ดังนี้
- นาย A เหมาะสมกับประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครอง OPD เนื่องจากมีจำนวนครั้งในการเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลบ่อยที่สุด และเป็นการรักษาในฐานะ “ผู้ป่วยนอก” กล่าวคือเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาล แต่ไม่ต้องนอนพัก และสามารถกลับบ้านได้เลย
- นาย B เหมาะสมกับประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครอง IPD เนื่องจากมีจำนวนครั้งในการเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลค่อนข้างน้อย แต่เป็นการรักษาในฐานะ “ผู้ป่วยใน” กล่าวคือเป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษา และพักฟื้นในสถานพยาบาลมากกว่า 6 ชั่วโมงขึ้นไป
- นาย C เหมาะสมกับประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองทั้ง IPD และ OPD เนื่องจากมีจำนวนครั้งในการเข้ารับการรักษาทั้งที่สามารถกลับบ้านได้เลย และต้องนอนรักษาตัวในสถานพยาบาลในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน ดังนั้นนาย C จึงต้องการความคุ้มครองทั้งในฐานะ “ผู้ป่วยนอก” และ “ผู้ป่วยใน”
ประกันสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเบี้ยประกัน หรือบริษัทผู้รับประกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าประกันสุขภาพแผนนั้นๆ ครอบคลุมความเสี่ยงด้านสุขภาพของเราได้มากน้อยแค่ไหน และหากกำลังรู้สึกว่าทำไมการซื้อประกันสุขภาพดีๆ ซักกรมธรรม์เป็นเรื่องที่ยุงยากจังเลยลองแวะเข้ามาที่ noon.in.th แล้วความวุ่นวายทั้งหลายจะหายไป เพราะเว็บไซต์นี้มีระบบช่วยค้นหาและคัดเลือกแผนประกันสุขภาพภาพที่เหมาะสม และตอบโจทย์ทุกความต้องการ แล้วประกันสุขภาพจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : healthmeopd, thailandmasti, smk, rabbitfinance, frank, oic