วันที่ 4 ธันวาคมของทุกๆ ปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ถึงแม้จะมีแคมเปญเพื่อสร้างความตระหนักรู้และการรณรงค์เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมออกมามากมายเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าวิกฤตินี้ก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่เป็นจริงเป็นจังเสียที ซ้ำร้ายงบประมาณที่จะถูกจัดสรรมาเพื่อใช้แก้ปัญหาและพัฒนาเรื่องสิ่งแวดล้อมยังเป็นส่วนที่น้อยที่สุดเพียงร้อยละ 3.7 ของจำนวนงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น (หนังสืองบประมาณโดยสังเขป ประจำปีงบประมาณ 2563)
อีกทั้งปริมาณขยะมูลฝอยในปี 62 ยังมีมากถึง 28.7 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 3) ขยะเหล่านี้ถูกทิ้งอย่างไร้ความรับผิดชอบ และส่งผลโดยตรงต่อธรรมชาติ ทั้งสัตว์ทะเลกว่า 70% ที่ถูกคุกคามจากขยะพลาสติก หรือต้นไม้หายไป 1 ต้น ในทุกๆ 3 นาที หากเรายังคงทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่เห็นแก่ได้อยู่อย่างนี้ อีกไม่นานสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามอาจหายไปตลอดกาล เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงขึ้นกว่านี้ เราทุกคนจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการท่องเที่ยวให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือที่คนส่วนใหญ่กันว่าการท่องเที่ยวแบบ Ecotourism
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือ Ecotourism คือการท่องเที่ยวที่ช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ และวัฒนธรรม โดยมุ่งหวังให้นักท่องเที่ยวมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ใส่ใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน เช่นการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน เป็นต้น
How to เที่ยวแบบ Ecotourism
ใช้รถสาธารณะให้คล่อง
การเดินทางด้วยรถทัวร์ รถตู้ หรือรถไฟ อาจดีกว่าการใช้รถส่วนตัว หรือเครื่องบิน เพราะยานพาหนะเหล่านั้นปล่อยมลพิษทางอากาศน้อยกว่า และเผลอๆ ค่าโดยสารอาจถูกกว่าด้วย
ดูแต่ตา มืออย่าต้อง เพราะของจะเสีย
เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็ตามแต่จงท่องไว้เสมอว่า “ดูแต่ตา มืออย่าต้องของจะเสีย”ดังนั้นเวลาเห็นปลา หรือปะการังสวยๆ อย่าพุ่งตัวเข้าไปจับ หรือเก็บมันเด็ดขาด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในที่ที่มันสมควรอยู่แล้ว
ลด ละ เลิก พลาสติกทุกชนิด
พลาสติก 1 ชิ้นใช้เวลาย่อยสลายมากถึง 100 ปี หากนักท่องเที่ยว 1 คนผลิตขยะพลาสติกได้คนละชิ้นก็หมายความว่าสถานที่ท่องเที่ยวนั้นจะเต็มไปด้วยขยะพลาสติกไม่มีสิ้นสุด ดังนั้นเพื่อรักษาทิวทัศน์อันสวยงามให้คงไว้ตราบนาน เราควรหันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทนการใช้พลาสติกแบบเดิมๆ
กินอาหารท้องถิ่น และเที่ยวตามแบบวัฒนธรรมดั้งเดิม
การได้กินอาหารท้องถิ่น หรือเที่ยวตามวัฒนธรรมดั้งเดิมก็เป็นส่วนหนึ่งของการเที่ยวแบบ ecotourism เช่นกัน เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้ และสัมผัสรสชาติที่แท้จริงของชุมชนนั้นๆ อีกทั้งเป็นช่วยส่งเสริมรายได้ให้ชาวบ้านด้วย
กินตรงไหน ทิ้งตรงนั้น ไม่เท่ แถมน่ารังเกียจ
นักท่องเที่ยวบางคนมีนิสัยมักง่ายชอบทิ้งเรี่ยราด ไม่สนใจว่าสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไรขอแค่สะดวกตัวเองก็พอแล้ว ซึ่งมันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์มาก เพราะขยะที่เราสร้างขึ้นก็คือความรับผิดชอบของเรา ดังนั้นควรทิ้งขยะให้ถูกที่รับรองว่าชีวิตแฮปปี้แน่นอน
ถ้าเปรียบการดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นเหมือนการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น การทำประกันสุขภาพก็คงเป็นเหมือนการทำให้เราอุ่นใจมากขึ้นเมื่อยามเจ็บป่วย เพราะประกันสุขภาพจะช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องให้เราไม่ต้องแบกรับภาระนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเที่ยวกรีนแค่ไหน หรือไกลเท่าไหร่ก็หมดกังวลเรื่องค่ารักษาได้อย่างแน่นอน
ลองค้นหาแบบประกันสุขภาพที่ใช่จากตรงนี้ได้เลย!!!
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : environnet, thescrubba, ecotourism