เคยเป็นไหมครับชอบซื้ออะไรแบบลืมเนื้อลืมตัว มานั่งมองอีกทีของที่ได้มาก็เยอะเกินความจำเป็น แถมยังก็ไม่ตรงกับความต้องการอีก ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจส่งคืนสินค้าแล้วขอเงินคืนได้ แต่ถ้าเป็นในแง่ของการซื้อประกันล่ะจะง่ายเหมือนกับสินค้าทั่วไปหรือไม่
ผมเชื่อว่าจุดประสงค์ในการซื้อประกันชีวิตของใครหลายๆ คนคงคือการนำประกันมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยบรรเทาความเสียหายจากความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณ คนรอบข้าง และทรัพย์สินของคุณ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าซื้อเยอะไปจนเกินความจำเป็น ซื้อผิดประเภท หรือเลือกทำกรมธรรม์ที่ไม่ได้ตอบโจทย์ตัวเอง ก็อาจทำให้กลายเป็นภาระต้องมานั่งแบกค่าเบี้ยประกันจนหลังแอ่น พอนานเข้าเรื่อยๆ ก็อาจทำให้จ่ายต่อไม่ไหว และด้วยกรมธรรม์ประกันชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นสัญญาระยะยาวตั้งแต่ 5 ปี – 10 ปี จะให้ฝืนจ่ายไปเรื่อยๆ ก็คงอดตายก่อนได้เงินคืนแน่ๆ ถ้าคุณกำลังประสบกับสถานการณ์นี้อยู่ล่ะก็ชายพีร์มีทางออกมาให้กับทุกคนครับ 4 ทาง
4 แนวทางเอาตัวรอดเมื่อจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหว

ทางที่ 1 เวนคืนมูลค่าเงินสด
คือ การยกเลิกกรมธรรม์ หรือหยุดจ่ายเบี้ยประกัน และได้รับเงินสดคืนก้อนหนึ่งทันที ซึ่งจำนวนเงินสดที่ได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ตามตารางมูลค่าเงินสด และเมื่อตัดสินใจเวนคืนแล้วแล้วจะถือว่ากรมธรรม์ป็นอันสิ้นสุด
เหมาะกับใคร? ผู้ที่ต้องการได้รับเงินก้อนคืนจากการยกเลิกความคุ้มครอง แต่ข้อเสียคือคุณมีโอกาสได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยที่ชำระไปแล้ว

ทางที่ 2 กู้เงินจากกรมธรรม์
คือ การขอกู้เงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิตของตัวเอง ซึ่งวงเงินที่สามารถกู้ได้นั้นขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินสดซึ่งเป็นเสมือนหลักทรัพย์ค้ำประกัน และการพิจาณาตามกฎเกณฑ์ของบริษัทประกัน แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าทุกการกู้เงินย่อมมีดอกเบี้ยเสมอ ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับสัญญาของแต่ละบริษัทประกัน
หมาะกับใคร? คนที่ต้องการให้ความคุ้มครองยังคงอยู่ และประสบปัญหาจนทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันได้ตามปกติ ขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินสดซึ่งเป็นเสมือนหลักทรัพย์ค้ำประกัน และการพิจาณาตามกฎเกณฑ์ของบริษัทประกัน จึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ช่วยคุณได้ แต่ข้อเสียคือคุณต้องเสียดอกเบี้ยให้กับบริษัทประกัน

ทางที่ 3 การขอใช้เงินสำเร็จ
คือ การยุติจ่ายเบี้ยประกัน แต่ความคุ้มครองยังคงมีอยู่ไปจนครบสัญญา ซึ่งความคุ้มครอง และทุนประกันที่มีอยู่อาจจะมีการปรับลดลง
เหมาะกับใคร? ผู้ที่ไม่สะดวกจ่ายเบี้ยต่อ แต่ต้องการความคุ้มครองอยู่ ตามระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ ถึงแม้ว่าความคุ้มครองจากจำนวนเงินเอาประกันชีวิตจะลดลง
